การ ปีนเขา คือการปีนเขาที่แท้จริง หรือเขาจำลองตามแนวเส้นไม่ว่าจะแนวตั้งหรือแนวนอน เป้าหมายคือไปให้ถึงยอดสูงสุด จริง ๆ แล้วการปีนหน้าผานั้นมีสาขาอื่น ๆ มากมาย แต่สิ่งสำคัญสำหรับที่ปีนเขาในประเทศไทยคือสไตล์การปีนหน้าผาแบบสปอร์ต คือการใช้เชือกและอุปกรณ์ป้องกัน ตามเส้นทางที่กำหนดและได้เจาะหน้าผาแล้ว
ทำไมต้องเป็นกีฬาปีนเขา
การปีนเขาเป็นกิจกรรมที่สนุกมาก เพราะนอกจากจะต้องใช้ร่างกายแล้ว ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ เช่น กำลังใจและความคิดในการแก้ปัญหาด้วย เพราะกีฬานี้ต้องใช้ทักษะ ต้องมองหน้าผาและคิดตลอดเวลาว่าจะปีนอย่างไรให้ได้ผลที่สุด เหมือนกับการเล่นเกมพัซเซิลที่เราต้องคิดอยู่ตลอดเวลา ในใจเราต้องต่อสู้กับความกลัวตลอดเวลา เพราะทุกคนมีความเกรงกลัวความสูงอยู่ในใจไม่มากก็น้อย สุดท้ายเป็นเรื่องของความแข็งแกร่งของร่างกาย แน่นอนว่ากีฬานี้ต้องใช้ความพยายามทางร่างกายพอสมควร ยิ่งคุณปีน เส้นทางยิ่งยาก ยิ่งต้องใช้ร่างกายมากขึ้น
ปีนเขาแบบ OUTDOOR หรือ INDOOR
การปีนเขาแบ่งตามสภาพแวดล้อมหลัก สามารถเป็นได้สองประเภท:
แบบ Outdoor เป็นการปีนหน้าผาที่เป็นธรรมชาติจริงๆ โดยปีนหินจริง ๆ เวลาปีนเขาก็จะออกไปยังหน้าผา เขาที่ขึ้นชื่อในหมู่นักปีนผา ที่มีการวางเส้นทางไว้ในเมืองไทยก็จะมีไร่เลย์ กระบี่ ซึ่งเป็นหน้าผาที่มีชื่อเสียงระดับโลก หรือแคมป์น้ำผาป่าใหญ่ในจังหวัดสระบุรี ซึ่งอยู่ใกล้กับกรุงเทพฯ มาก เดินทางสะดวกมาก ความสนุกของการปีนเขากลางแจ้งคือการได้สัมผัสกับธรรมชาติจริง ๆ พอขึ้นไปเห็นวิวสวย ๆ สูง ๆ อากาศดี ก็จะทำให้เราชื่นใจจริง ๆ แต่แน่นอนว่ามันมีปัญหาในสภาพอากาศที่ร้อนบวกกับฝุ่น และการเดินขึ้นไปบนหน้าผาที่เราจะปีนอาจจะยากและที่สำคัญหน้าผาจริงอันตรายกว่าหน้าผาจำลองเสียอีก เพราะอาจจะมีหินตกลงมาจากที่สูงได้ตลอดเวลา และถ้าได้ปีนครั้งแรกจริง ๆ ก็อาจจะสับสนว่าจะปีนต่อไปคว้าหินที่ไหนได้ ซึ่งแตกต่างจากในยิมเพราะมีทางเดินของหินสีอยู่ตลอดเวลา
แบบ Indoor คือแบบจำลองของหน้าผาจริง แต่ที่จับทำจากวัสดุอื่น เช่น ไฟเบอร์กลาส ซึ่งเขาจะทำเป็นสี ทำให้ดูง่ายว่าเราจะปีนเส้นทางไหน ในการไปยิมเพื่อฝึกปีนเขา ข้อดีคือเราจะสามารถฝึกท่าและเข้าใจหลักการของการปีนเขาได้ และง่ายต่อการเดินทางด้วย และต่อไปก็เป็นการฝึกเพื่อออกไปยังหน้าผาจริงต่อไป
ปีนเขา มีกี่ประเภท
จริง ๆ ปีนเขามีหลายประเภทแยกย่อยลงไปได้เยอะมาก ๆ แต่เอาหลัก ๆที่ปีนในยิมเลย คือมี สองประเภท คือ sport climbing และ bouldering ทั้งสองแบบมีความท้าทายและความสนุกแตกต่างกันไป ใครจะชอบแบบไหนต้องมาลองเองค่ะ โดยทั่วไปในยิมจะมีให้เล่นทั้งสองแบบ
แบบ Bouldering คือการปีนหน้าผาเป็นช่วงสั้น ๆ ประมาณ 3-4 เมตร มีความท้าทายด้วยความยากลำบากของเส้นทาง การทำโบลเดอร์ไม่จำเป็นต้องใช้สายรัดและเชือก
แบบ sport climbing คือการปีนผาแบบที่เรารู้จักกัน ปีนแบบเป็นเส้นเชือก ขึ้นไปสูงๆประมาณ 8-15 เมตร โดยจะต้องมีผู้ปีน (climber) และผู้จับเชือกดูแลผู้ปีน (Belayer) เวลาปีนให้ถูกต้อง จะต้องปีนไปตามสีที่กำหนดและใช้ทักษะในการปีนขึ้นไปให้จบเส้นทางโดยไม่ตกค่ะ (ฟังดูง่าย แต่จริงๆย้ากยากนะ 555) โดยจะมีอุปกรณ์ความปลอดภัยคือต้องสวม harness และรัดเชือกเข้ากับ harness ทุกครั้งค่ะ sport climbing จะแบ่งย่อยเป็นหลักๆอีกสองแบบคือ Top rope และ Lead climbing
แบบ sport climbing คือกีฬาปีนเขาอย่างที่เรารู้ ๆ กัน ปีนเชือก ขึ้นไปสูงได้ประมาณ 8-15 เมตร ต้องมีนักปีนเขา (climber) และคนดูแลเชือกคอยดูแลนักไต่เขา (Belayer) เมื่อปีนอย่างถูกต้อง ต้องปีนตามสีที่กำหนดและใช้ทักษะปีนป่ายจนสุดเส้นทางโดยไม่ล้ม จำเป็นต้องมีอุปกรณ์นิรภัย คือ รัดสายรัดและมัดเชือกไปกับสายรัดทุกครั้ง กีฬาปีนเขาแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ Top Rope และ Lead Climbing
Top rope คือ การปีนที่เชือกผูกติดกับยอดหน้าผา มันเป็นการปีนที่ปลอดภัย และอันตรายน้อยกว่าการปีนแบบ lead climbing เพราะถ้าตกจะมีเชือกให้ดึง สำหรับมือใหม่ที่มาปีน ก็ควรปีนแบบ Top rope ก่อนนะคะ
Lead Climbing เป็นการปีนที่นักปีนเขาต้องค่อย ๆ ดึงเชือกขึ้นแล้วหนีบเข้ากับอุปกรณ์บนหน้าผา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากและต้องใช้ทักษะมากกว่า top rope และมีความเสี่ยงเพราะถ้าตก จะตกในระยะทางที่สูงกว่า top rope ผู้ที่เป็นผู้นำในการปีนเขาได้ต้องผ่านการฝึกฝนมาพอสมควร
เป็นกีฬาที่น่าสนใจอย่างมากสำหรับการปีนเขา ใครที่อยากทำกิจกรรมนี้นอกจากจะได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์แล้วยังได้ออกกำลังกายอีก และที่สำคัญยังได้เรียนรู้ทักษะการปีนเขาที่สามารถใช้ได้จริง ๆ ด้วย ใครที่สนใจอยากจะทำกิจกรรมนี้ เอาเลย ๆ บอกเลยมีแต่ได้กับได้จ้าา
อ่านบทความเพิ่มเติม
https://extremesnakes.com/กีฬากลางแจ้ง/
เครดิตภาพ
https://google.com/